วันเสาร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2558


การเล่นสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน
การเล่น(Play)
                การเล่น เป็นกิจกรรมที่เป็นหัวใจและมีความสำคัญยิ่งในวัยเด็ก ธรรมชาติของเด็กจะชอบเล่น การเล่นนอกจากจะเป็นการสนองความต้องการทางจิตใจ คือเกิดความสนุกสนานแล้ว การเล่นยังเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเด็ก ในขณะที่เด็กเล่น เด็กจะไม่สนใจสิ่งอื่นใดที่อยู่รอบตัวเลย ขณะที่เด็กเล่นเด็กจะเกิดการเรียนรู้ไปพร้อมๆกันด้วย ดังนั้น ถ้าเราเข้าใจความสำคัญของการเล่น เข้าใจธรรมชาติและการเรียนรู้ของเด็กและเปิดโอกาสให้เด็กได้รับประสบการณ์จากสิ่งที่เด็กพอใจ และหาวิธีส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างเหมาะสม ก็จะช่วยให้ประสบการณ์ที่จัดให้กับเด็กมีคุณค่าและเหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กอย่างแท้จริง
                เด็กจะเรียนรู้ได้ดีโดยผ่านประสบการณ์ตรงที่เป็นรูปธรรมโดยการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง5 คือการสัมผัส ทดลองและปฏิบัติจริง ฯลฯ ซึ่งถ้าครูเข้าใจและจัดบรรยากาศที่ส่งเสริมให้เด็กได้เล่นหลายๆแบบก็จะช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ และมีโอกาสพัฒนาทักษะต่างๆไปพร้อมๆกันด้วย ขณะที่เล่นเด็กก็จะมีโอกาสพัฒนาการคิดอย่างอิสระและการใช้จินตนาการจากการเล่นภาพตัดต่อ ตัดกระดาษ ประดิษฐ์ภาพ เล่นบล็อก เล่นมุมบ้าน ฯลฯ เด็กจะได้พัฒนากล้ามเนื้อมือ และความสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อมือและสายตา ซึ่งเป็นพื้นฐานและเป็นการเตรียมความพร้อมในการอ่าน เด็กจะเรียนรู้ให้อยู่กับผู้อื่นโดยการแสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รู้จักรูปทรงและแนวคิดพื้นฐานทางคณิตศาสตร์อื่นๆ จากการเล่นไม้บล็อก ขณะที่เล่นเด็กจะคิดว่าเขากำลังทำงาน ซึ่งในความคิดเห็นของผู้ใหญ่อาจจะคิดว่าการเล่นของเด็กเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ถ้าผู้เข้าใจและจัดบรรยากาศให้เด็กเล่นอย่างอิสระจะช่วยให้เด็กได้รับประโยชน์จากการเล่น เพราะเด็กจะเรียนรู้จากการกระทำ และเกิดความเข้าใจในสิ่งปฏิบัติต่างๆอย่างแท้จริง ดังสุภาษิตจีนที่ว่า
                                ฉันได้ยิน               แล้ว        ฉันก็ลืม
                                ฉันเห็น                  แล้ว        ฉันก็จำได้
                                ฉันทำ                     แล้ว        ฉันเกิดความเข้าใจ
ความหมายของการเล่น
                ได้มีผู้ให้ความหมาย การเล่น (Play) เอาไว้หลายประการ ดังจะขอมากล่าวในที่นี้ ดังนี้
                ดร.นีร์-จาร์นีฟ(Dr. Nir-Jarniv) ได้อ้างความหมายที่ โฮโม ลูเดน(Homo Leuden) กล่าวถึงการเล่น ไว้ว่าการเล่นควรมีลักษณะที่สำคัญ 4 ประการ คือ (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 2523 : กร./2523) 
1.             เป็นอิสระ
2.             ไม่มีสินจ้างรางวัล
3.             มีกฎเกณฑ์หรือกติกา
โคเฮน และรูดอร์ฟ (Cohen & Rudolph.1977) : 100-101)ได้รวบรวมความหมายของการเล่นที่มีผู้
กล่าวเอาไว้ดังนี้
1.             มาร์การ์เร็ต   โลเวนเฟล(Margaret  Lovenfeld) ได้กล่าวถึงความหมายของการเล่นของเด็กก่อน
วัยเรียนเอาไว้ในหนังสือชื่อ “Play in Childhood”เอาไว้ดังนี้
1.1      การเล่น คือ การกระทำกิจกรรมทางร่างกาย (Play as a Bodily Activity)
1.2      การเล่น คือ การได้รับประสบการณ์ซ้ำ (Play as Repetition of Experience)
1.3      การเล่น คือ การแสดงออกซึ่งความเพ้อฝัน (Play as Demonstration of  Fantasy)
1.4      การเล่น คือ การเข้าใจถึงสิ่งแวดล้อม (Play as Realization of Environment)
1.5      การเล่น คือ การเตรียมเพื่อชีวิต (Play as Preparation for life)
2.             ซูซาน ไอแซค (Susan Isaac) ได้ศึกษาวิเคราะห์การเล่นและเขียนเอาไว้ในหนังสือชื่อ
“Intellectual and Growth Young Children”(Cohen & Rudolph.1977 : 100-101)โดยเขามองการเล่นว่ามีส่วนสัมพันธ์กับพัมนาการทางร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาของเด็ก เขากล่าวว่า การเล่นควรมีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการ คือ
2.1      การเล่นจะนำไปสู่การค้นพบ การหาเหตุผล และการคิด
2.2      การเล่นจะเป็นสะพานไปสู่ความสัมพันธ์ทางสังคม
2.3      การเล่นจะนำไปสู่การสร้างความสมดุลทางอารมณ์
3.             ฮาร์ดลี แฟรงค์ และโกลเดนสัน ได้ศึกษาการเล่น และ สรุปว่า การเล่นควรมีบทบาทต่างๆกัน 8   ประการคือ  
3.1      เป็นการเลียนแบบการกระทำของผู้ใหญ่
3.2      เป็นการแสดงบทบาทในชีวิตจริงในวิธีการที่เข้มข้น
3.3      เป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์และประสบการณ์
3.4      เป็นการแสดงออกถึงความต้องการ
3.5      เป็นการลดความต้องการที่ไม่เหมาะสม
3.6      เป็นการแสดงบทบาทที่ไม่สมควรแสดงออก
3.7      เป็นการแสดงเจาะเงาของพัฒนาการ
3.8      เป็นการแก้ปัญหาและทดลองหาวิธีแก้ปัญหา
คุณค่าของการเล่น
                เพียเจต์ (Piaget) กล่าวถึงคุณค่าของการเล่นเอาไว้ว่า การเล่น  จะมีความสำคัญต่อพัฒนาการทางสติปัญญาจากการเล่น เด็กก็จะสามารถแยกแยะสิ่งต่างๆจากสิ่งเร้าได้ และขณะที่เด็กตอบสนองสิ่งเร้า เขาจะสามารถรับรู้สิ่งต่างเข้ามาในสมอง เพียเจต์ยังได้พูดถึงการเล่นเอาไว้ 3 ประการคือ
1.             บทบาทของการเล่นคือ การรระบายอารมณ์
2.             การเล่นช่วยให้เข้าใจถึงสิ่งที่เป็นนามธรรม
3.             การเล่นเป็นการรียนรู้ถึงสังคม
ลำดับขั้นพัฒนาการทางการเล่น
                การเล่นเป็นแนวทางหรือวิธีการที่เด็กแปลและถ่ายทอด ความหมาย ความเข้าใจและความรู้สึกที่เขามรต่อสิ่งต่างๆหรือสถานการณ์รอบๆตัวออกมาเป็นการกระทำ เพื่อให้ตัวเองเรียนรู้ และให้ผู้อื่นรับรู้ความสามารถของตนเอง พฤติกรรมการเล่นของเด็กจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางด้านความรู้ ความเข้าใจและทางสังคมของเด็ก ซึ่งเลขา ปิยะอัจฉริยะ (อ้างอิงจากคณะทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาการเครื่องเล่นของเด็ก 2524 : 21-22)ได้รวบรวมเอาไว้ดังนี้
1. พัฒนาการทางการเล่นกับพัฒนาการทางความรู้ความเข้าใจ
ด้านนี้ เพียเจต์ (Piaget.1962)ได้วิเคราะห์และแบ่งแยกพัฒนาการทางความรู้ความเข้าใจของเด็ก
ออกเป็นลำดับขั้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวทฤษฎีของเขาในแง่พัฒนาการทางสติปัญญาดังนี้

1.1      ขั้นการเล่นที่ใช้ประสาทสัมผัส รู้สึกและกลไกเคลื่อนไหวต่างๆ เนื่องจากขั้นแรกของการเจริญ
วัย เด็กยังไม่สามารถแยกตนเอง (Self) และสิ่งแวดล้อมให้ออกจากกันได้ เด็กเชื่อแต่ว่าทุกสิ่ง
ทุกอย่างต้องรวมอยู่ที่ตนเอง ตนเองต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง ต้องเป็นผู้กระทำ เช่น มีความเข้าใจว่า ความคงที่ของวัตถุจะไม่มีถ้าตัวเขาเองไม่ได้รับรู้ มองเห็นหรือจับตัววัตถุนั้นอยู่ ประกอบกับกล้ามเนื้อแขนขา และอวัยวะส่วนต่างๆต้องการถูกฝึกฝน ถูกใช้เพื่อให้พัฒนาการเล่นของเด็กในระยะก่อนวัย 4 ขวบ จึงมุ่งที่การนำตัวออกไปประสบกับสิ่งที่ต้องการเรียนรู้นั้นๆด้วยตนเอง โดยใช้สมรรถภาพและร่างกายเข้าร่วมเล่น ลักษณะการเล่นจึงเป็นการทำกิจกรรมที่เคลื่อนไหว มีอิริยาบถ มีการใช้ประสาทสัมผัสรับรู้มาก และมีการย้ำซ้ำทวนการกระทำหรือการเล่นนั้นบ่อยๆโดยไม่เบื่อหน่าย
1.2      ขั้นการเล่นที่ใช้สัญลักษณ์(Representational Stage) เมื่อเด็กมีการพัฒนาในด้านสติปัญญา
เพิ่มขึ้นจากวุฒิภาวะ เด็กจะมีความสามารถในการตอบสนองความกระตือรือร้นใคร่รู้ใคร่เรียน และความต้องการใช้ความสามารถที่เพิ่มขึ้นเป็นไปในแนวที่เริ่มรู้จักใช้ความคิด มโนภาพ และจินตนาการให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับกิจกรรมการเล่นของตน ระยะระหว่างวัย2-7ขวบ จะเป็นระยะที่ความคิดในด้านลักษณะของเด็กจะก่อรูปและพัฒนาขึ้น เด็กจะเอาใจใส่กับการเล่นที่มีการสมมติหรือกำหนดให้สิ่งเร้าต่างๆรวมทั้งวัตถุของเล่นและตัวบุคคล มีฐานะเป็นตัวแทนของสิ่งและสภาพที่เป็นจริงในชีวิต
                1.3 ขั้นการเล่นที่สื่อความคิด ความเข้าใจ (Reflective Stage) ครั้นอายุประมาณ 7ขวบ การต่อเติมความคิด การเกิดความคิดรวบยอดมีมากขึ้นและสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น เด็กจะมีพัฒนาการรับรู้ที่สามารถจัดหมวดหมู่หรือประเภทของวัตถุและเหตุการณ์ต่างๆได้ ตลอดจนมีการพัฒนาการทางด้านภาษามากพอที่จะสื่อความเข้าใจบุคคลอื่น การเล่นส่วนใหญ่ในระยะนี้จึงเป็นไปในรูปการเล่นที่มีกฎเกณฑ์และขั้นตอนเข้ามาเกี่ยวข้องในตัวอย่างการเล่นบทพ่อ แม่ ลูกและหมอ จะมีการเขียนบทเป็นละครเป็นเรื่องมีการขึ้นต้น ดำเนินเรื่อง และสรุปลงท้ายเรื่องภาษาที่ใช้ การลำดับบทและขั้นตอนของเรื่องจะสะท้อนให้เห็นถึงการที่เด็กต้องรวบรวมและวางแนวความคิด เพื่อให้สอดคล้องกันอย่างมีเหตุผลและความเป็นไปได้ และเพื่อให้สื่อความคิดของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้และเข้าใจ
                ในขั้นการเล่นที่ใช้ประสารทสัมผัส และกลไกเคลื่อนไหวต่างๆเด็กจะเริ่มแสดงพฤติกรรมการเล่นแบบเลียนแบบ แบบสำรวจ และบททดสอบ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้จะซับซ้อนขึ้นเมื่อพัฒนาการยิ่งขึ้นพร้อมกับตัวเด็กที่เจริญเติบโตทางวุฒิภาวะ เมื่อการเล่นของเด็กได้พัฒนามาอยู่ขั้นรู้จักใช้สัญลักษณ์ พฤติกรรมการเล่นต่างๆดังกล่าวจะถูกหลอมเข้าด้วยกันและสะท้อนออกมาในรูปของการเล่นสร้าง เพียเจต์ ได้ให้ข้อสังเกตว่า ในระยะ 4 ถึง 7 ขวบ การเล่นที่ใช้สัญลักษณ์ซึ่งเกิดจากความคิดคำนึง และความคิดเห็นของเด็กจะเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆและเด็กสามารถปรับตัวให้เข้ากับความเป็นจริงตามธรรมชาติรอบตัวได้ ในขณะที่สังคมของเด็กกว้างขวางขึ้น และความต้องการทางอารมณ์ของเด็กได้รับการตอบสนองในทางที่ดีในช่วงตอนปลายของขั้นการเล่นที่ใช้สัญลักษณ์ ลักษณะเฉพาะของการเล่นจะเริ่มเกิดขึ้นคือ การเล่นเลียนแบบตามความเป็นจริงของสิ่งแวดล้อม การเล่นสร้างเรื่องที่บทจะได้รับการปรุงเพื่อให้เป็นการแสดงที่เน้นความแตกต่างของบทเหล่านั้น และความมีระเบียบในการเล่นสร้างมากขึ้น
2. พัฒนาการทางการเล่นที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางสังคม
ลักษณะการเล่นของเด็กที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางสังคมสามารถแบ่งออกได้เป็นลำดับขั้นเริ่มตั้งแต่เล่นคนเดียว เล่นใกล้ๆคนอื่น สนใจการเล่นของผู้อื่นโดยเป็นเพียงส่วนประกอบของการเล่นนั้น และร่วมเล่นกับผู้อื่นอย่างมีบทบาทเต็มที่ เด็กปกติทุกคนจะมีพัฒนาการทางการเล่นเป็นไปตามนี้
ในระยะแรกของพัฒนาการทางสังคม เด็กจะถือเอาตนเองเป็นจุดเด่น เป็นศูนย์กลางของความสำคัญ เนื่องจากพัฒนาการทางการใช้ภาษายังไม่อยู่ในขั้นที่จะใช้ภาษาเป็นสื่อให้ผู้อื่นเข้าใจตามตนได้ และเด็กยังต้องการ การเรียนรู้เกี่ยวกับตนเองการเล่นในระยะประมาณ 2 ขวบ จึงมักจะเป็นการเล่นคนเดียว ต่อมาเมื่อเด็กได้รู้จักสร้างตนเองที่แท้จริงขึ้นมาบ้างแล้วโดยสามารถแยกสิ่งแวดล้อมต่างๆออกได้ว่า แตกต่างกันหรือเหมือนกันและเริ่มรู้ว่า ฉันกับท่านนั้นเป็นคนละคนกัน แต่ฉันกับท่านอาจจะมีสัมพันธ์กันได้ เด็กจะเริ่มที่จะสนใจและต้องการเล่นด้วยกันกับเด็กอื่น ก่อนที่เด็กจะเข้ากลุ่มเล่นกับผู้อื่นได้อย่างเต็มที่นั้น ระดับขั้นของการเข้ากลุ่มจะเป็นในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป คือเมื่อยังไม่รู้จักเล่นด้วยก็ได้แต่คนเดียวอยู่ใกล้ๆกับเด็กคนก่อนต่อมาพยายามจะเข้าร่วมเล่นโดยการเล่นเหมือนๆกับเขายอมเป็นผู้ตามเป็นส่วนประกอบที่ทำให้การเล่นของผู้อื่นสมบูรณ์ แล้วในที่สุดก็เข้าร่วมเล่นด้วยกัน โดยตนเองได้มีโอกาสเป็นผู้นำบ้าง มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นบ้าง เด็กส่วนมากสามารถทำตนเป็นคนหนึ่งของกลุ่มได้สำเร็จเมื่ออายุประมาณ 4 ขวบ
แฮมมอนด์ ได้กล่าวถึงพัฒนาการ การเล่นของเด็กที่เกี่ยวข้องกับสังคมเอาไว้ 4 ประการ คือ
2.1      การเล่นคนเดียว เป็นชนิดของการเล่นเมื่อเด็กเริ่มรู้จักเล่น จนถึงอายุราว 2 ขวบ ซึ่งการเล่นใน
ระยะนี้จะเป็นการเล่นที่เด็กเล่นตามลำพังคนเดียว เพราะพัฒนาการทางภาษาของเด็กยังไม่อยู่ในขั้นที่จะใช้ภาษาเป็นสื่อกลางให้ผู้อื่นเข้าใจได้
2.2      การเล่นคู่ขนาน การเล่นในลักษณะนี้จะเริ่มต้นเมื่ออายุ 2 ขวบ โดยที่เด็กจะพอใจที่จะเล่นตาม
ลำพังแต่มีผู้อื่นหรือเด็กอื่นหรือเด็กอื่นอยู่ข้างๆแต่ต่างคนต่างเล่น
2.3      การเล่นโดยมีผู้อื่นเป็นส่วนประกอบ เมื่อเด็กอายุ 3 ขวบ จะเริ่มสนใจที่จะเล่นกับเด็กอื่นๆขนาด
2-3 คน แต่กิจกรรมและกลุ่มมักจะเปลี่ยนอยู่บ่อยๆซึ่งเกเซล กล่าวว่า ในช่วงนี้การเล่นสมมุติและจินตนาการจะเริ่มเข้ามามีบทบาทในการเล่นของเด็ก โดยเด็กจะพอใจจะรอคอยที่จะเล่นและนำของเล่นกลับไปบ้าน
                เมื่อเด็กอายุ 4 ขวบ เด็กจะเริ่มต้นเป็นกลุ่มที่มีเพศเดียวกันประมาณ 2-3 คน แต่เด็กยังไม่สามารถปรับตัวและมีส่วนร่วมกับกลุ่มได้ เขามักจะแสดงตัวว่าเป็นหัวหน้าคนอื่น และผู้อื่นเป็นส่วนประกอบกิจกรรมการเล่นในช่วงนี้จะเป็นกิจกรรมเฉพาะอย่าง โดยเด็กจะเริ่มรู้จักเล่นในทางสร้างสรรค์และรู้จักใช้เครื่องแต่งกายในการเล่นสมมุติหรือการแสดงละคร
2.4      การเล่นเป็นกลุ่ม การเล่นในช่วงนี้เริ่มเมื่อเด็กอายุ 5 ขวบ โดยเด็กจะเริ่มเล่นร่วมกับผู้อื่นได้ แต่
กับเพื่อนจำนวน 2-5 คน เด็กจะเริ่มรู้จักบทบาทการรวมกลุ่มมากขึ้น เช่นรู้จักขอร้อง บอกกล่าวการเล่นสมมุติจะเริ่มแสดงออกในทางสร้างสรรค์มากขึ้น ในช่วงนี้เด็กจะชอบปีนป่าย และชอบเล่นเครื่องเล่นที่จะต้องใช้กล้ามเนื้อใหญ่ และเครื่องเล่นสนาม
3. การเล่นกับพัฒนาการด้านอื่นๆ
นอกจากผลวิจัยที่นักจิตวิทยาได้รวบรวมและเสนอเป็นพื้นฐานเกี่ยวกับลำดับขั้นและพัฒนาการ
ในการเล่นดังกล่าวมาแล้วยังได้มีผู้นำเอาแนวความคิดเกี่ยวกับลำดับขั้นของการเล่นไปทำวิจัย เพื่อศึกษาดูความสัมพันธ์ระหว่างพัฒนาการด้านต่างๆกับลำดับขั้นการเล่น ซึ่งเลขา ปิยะอัจฉริยะ (คณะทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาเครื่องเล่นเด็ก 2524 : 23) ได้รวบรวมผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเล่นที่มีผลต่อพัฒนาการด้านต่างๆเอาไว้ ดังนี้
3.1      ด้านความคิดสร้างสรรค์ จากผลการวิจัยของ ไฟเทลเสน และโรส (Fietelsen and Rose)
3.2      ด้านความสามารถในการยอมรับความคิดเห็นและทัศนะของผู้อื่น จากผลการวิจัยของ รูบิน
และไมโอนี (Rubin and Maioni )
                3.3 ด้านความสามารถในการแยกแยะและจัดหมู่ จัดประเภทสิ่ของต่างๆ จากผลการวิจัยของ รูบิน และไมโอนี (Rubin and Maioni)
                3.4 ด้านความสามารถในการแก้ปัญหา จากผลการวิจัยของ ฮาร์ทชอร์น และแบรนท์ลี (Hartshorn and brantley)
                3.5 ด้านปริมาณและความสลับซับซ้อนของภาษาที่เด็กใช้ จากผลการวิจัยของ เลิฟวิงเกอร์ (lovinger)
                3.6 ด้านคะแนนเชาว์ปัญญา ความจำที่เกี่ยวกับลำดับเรื่องราวและทักษะในการเล่าเรื่อง จากผลการวิจัยของ ซอลท์ และจอห์นสัน (Saltz and Johnson)
                จากผลการวิจัยดังกล่าวพอจะสรุปได้ว่า การเล่นจะมีผลต่อพัฒนาการด้านต่างๆเป็นอย่างดีซึ่งถ้าเด็กได้รับการส่งเสริมอย่างถูกวิธีก็จะช่วยให้การเล่นนั้นมีความหมายต่อตัวผู้เล่นมากยิ่งขึ้น
4. ความสัมพันธ์ระหว่างการเล่นกับการเรียนรู้
คาทรีนา เดอ เฮิร์ช (Katrina de Hirsch) ได้กล่าวถึงการเรียนรู้ของเด็กกว่าเกิดจากทัศนคติ

และความสามารถของเด็กซึ่งจะพัฒนาได้ดีในช่วงแรกของชีวิตโดยวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม เขากล่าวว่าสิ่งที่จะเป็นอุปสรรคต่อการเรียนในระดับอื่นๆ คือการเรียนอ่านและเขียนเกิดขึ้นเพราะขาดการฝึกทักษะที่ดีในการรับรู้ จึงทำให้เขาไม่สามารถจะหาข้อมูลต่างๆได้ การที่เด็กจะประสบความสำเร็จในการเรียนได้ด้วยดีควรได้รับการวางพื้นฐานที่เหมาสม